ความสำคัญของการออกแบบแผนที่
การทำแผนที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่
แม้ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ช่วยให้การออกแบบและทำแผนที่ง่ายดายและรวดเร็วขึ้นมาก
แต่ไม่ควรละเลยความสำคัญของการออกแบบแผนที่แผนที่คือสื่อนำเสนอข้อมูลเชิงพื้นที่
จึงเป็นเอกสารที่มีความสำคัญทางวิชาการ
สามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการทำวิจัยแสดงผลการวิจัยและใช้สื่อสารข้อมูลภูมิศาสตร์
ไม่ควรมองว่าแผนที่เป็นเพียงภาพประกอบเท่านั้น
การทำแผนที่ควรใช้เวลาพิจารณาเพื่อวางแผนงานระยะหนึ่ง
ขั้นตอนนี้อาจจะยังไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำแผนที่ทันที เนื่องจากแผนที่แสดงข้อมูลเป็นภาพที่แปลตีความแล้ว
จึงควรออกแบบให้ผู้ใช้สามารถทำความเข้าใจแผนที่ได้รวดเร็วโดยเฉพาะแผนที่เฉพาะเรื่องเชิงปริมาณ
แต่แผนที่บางชนิด เช่น แผนที่ธรณีวิทยามีข้อมูลบรรจุอยู่มาก
ต้องใช้เวลาอ่านแผนที่อย่างพินิจพิเคราะห์เพื่อแปลความหมายของสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนแผนที่
ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจลักษณะของพื้นที่ตรงตามวัตถุประสงค์แท้จริงของแผนที่
หากแผนที่นั้นสื่อสารข้อมูลคลุมเครือหรือผิดพลาดจะส่งผลให้ผู้ใช้แผนที่ตีความหมายผิดเช่นกัน
การออกแบบแผนที่ที่ดีควรออกแบบให้มีความชัดเจน (Clarity) ในขั้นแรก คือ การสร้างความชัดเจนของแนวคิดมีความเข้าใจปรากฏการณ์เชิงพื้นที่อย่างชัดเจน
แล้วคัดเลือกข้อมูลที่สำคัญที่เป็นตัวแทนของลักษณะพื้นที่
ซึ่งหมายถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเนื้อหาแผนที่ให้ถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์แผนที่
ความชัดเจนในขั้นต่อมาคือการสร้างสัญลักษณ์แผนที่ให้ชัดเจน
เมื่อแทนสภาพจริงด้วยสัญลักษณ์แผนที่ จะต้องเลือกใช้สัญลักษณ์ที่เหมาะสม
วางตำแหน่งสัญลักษณ์และตัวอักษรไม่ซ้อนทับกัน ทำให้มองเห็นง่าย
และอ่านตัวอักษรได้ง่าย ไม่แสดงข้อมูลมากเกินความจำเป็น
เพื่อให้สังเกตและดึงข้อมูลสำคัญได้อย่างรวดเร็ว และสามารถจดจำลักษณะของข้อมูลบนแผนที่ได้ง่าย
การออกแบบแผนที่ประกอบด้วยหลักการออกแบบ คือ ภาพ-พื้น (Figure-Ground) ความสมดุลเชิงทัศน์
(Visual balance) ความเปรียบต่าง(Contrast) และลำดับเชิงทัศน์
(Visual hierarchy)
1. ภาพ-พื้น หมายถึง
การเน้นภาพหลักซึ่งออกแบบมาเป็นจุดสนใจหลัก ให้แตกต่างออกจากพื้นหลังซึ่งเป็นฉากประกอบ
ภาพหลักต้องดูสำคัญกว่าและโดดเด่นออกจากพื้นหลัง
โดยการใช้ความแตกต่างของสีความสว่าง หรือความเข้ม ลวดลาย ความหมายของภาพในแผนที่
คือ ตัวเนื้อหาหลักแผนที่ ส่วนพื้น คือ
เนื้อหาประกอบเพื่อให้เกิดความเข้าใจเนื้อหาหลัก โดยไม่รบกวนเนื้อหาหลัก
2.
ความสมดุลเชิงทัศน์ หมายถึง เมื่อการวางองค์ประกอบแผนที่ทั้งหมด
แล้วน้ำหนักของภาพรวมทั้งแผนที่ไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่งของพื้นที่แผนที่
แต่กระจายทั่วทั้งพื้นที่แผนที่ โดยรักษาระยะพื้นที่ว่างให้สม่ำเสมอกัน
การวางองค์ประกอบแผนที่ให้สมดุลมีรูปแบบของความสมดุลสองประเภทคือ
ความสมดุลเป็นทางการ(Formal
balance) และความสมดุลไม่เป็นทางการ (Non-formal balance) ความสมดุลเป็นทางการ
หมายถึง การวางองค์ประกอบแผนที่ให้อยู่กึ่งกลางแผนที่ และวางให้สมมาตรกัน เช่น
วางชื่อแผนที่ และเนื้อหาแผนที่ให้อยู่ตรงกลาง ส่วนข้อมูลองค์ประกอบลำดับต่ำกว่าวางไว้ชิดซ้าย
และชิดขวา ให้สมมาตรกัน ความสมดุลเป็นทางการ มักใช้กับการออกแบบแผนที่ชุด เช่น
แผนที่ภูมิประเทศ เนื่องจากพื้นที่ของเนื้อหาแผนที่ถูกออกแบบให้มีขนาดเท่ากัน
เกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนกัน ส่วนความสมดุลไม่เป็นทางการ หมายถึง
การวางองค์ประกอบแผนที่ให้อยู่กระจายตามบริเวณที่ว่างที่มีอยู่
แต่เมื่อวางทุกองค์ประกอบแล้ว แผนที่นั้นยังมีความสมดุล
ความสมดุลไม่เป็นทางการมักใช้กับแผนที่ที่มีพื้นที่เนื้อหาแผนที่ไม่ใช่รูปทรงเรขาคณิต
เช่น พื้นที่จังหวัด พื้นที่ลุ่มน้ำ เป็นต้น และเป็นแผนที่มาตราส่วนขนาดเล็ก
3. ความเปรียบต่าง หมายถึง
การตัดกันของรูปลักษณ์แผนที่หนึ่งกับรูปลักษณ์อื่น
ทำให้เห็นความแตกต่างของแต่ละรูปลักษณ์ ซึ่งทำโดยการออกแบบลักษณะของสัญลักษณ์
หรือตัวแปรเชิงทัศน์ เช่น สี ลวดลายรูปร่าง และเงา ให้สามารถแยกแยะความแตกต่างจากแต่ละรูปลักษณ์ได้
โดยยึดตามการวิเคราะห์ข้อมูลตามจุดประสงค์หลักแผนที่
การออกแบบให้รูปลักษณ์ที่สำคัญโดดเด่น จะทำให้มีลำดับเชิงทัศน์
หรือเป็นจุดความสนใจอยู่ในลำดับแรกๆ
4.
ลำดับเชิงทัศน์ เป็นการวางสัญลักษณ์
และองค์ประกอบแผนที่ให้เป็นไปตามความสำคัญในบริเวณที่มองเห็นเด่นชัดที่สุดเป็นลำดับไป
ข้อมูลแผนที่จึงควรวางตามลำดับความสำคัญซึ่งมี 2 องค์ประกอบ คือ
ลำดับขององค์ประกอบแผนที่ และลำดับของเนื้อหาแผนที่
- ลำดับขององค์ประกอบแผนที่
โดยปกติแล้วความสนใจของสายตาที่มองพื้นที่หนึ่ง
มีลำดับความสนใจพื้นที่ในส่วนที่มองได้ชัดเจนที่สุด จุดดึงดูดสายตาที่สุด คือ
จุดศูนย์กลางของการมองเห็นข้อมูลทันที
เรียกว่าจุดศูนย์กลางเชิงทัศน์อยู่บริเวณเกือบกึ่งกลางพื้นที่แผนที่ (ประมาณ 5
เปอร์เซ็นต์ของความสูง และอยู่เหนือจุดศูนย์กลางเรขาคณิต)
ลำดับเชิงทัศน์จึงเป็นการวางสัญลักษณ์และองค์ประกอบแผนที่ให้เป็นลำดับตามความสำคัญในบริเวณที่มองเห็นเด่นชัดที่สุดเป็นลำดับไป
วิธีการกวาดสายตามีก็ลำดับเช่นกัน สำหรับวัฒนธรรมที่ฝึกการอ่านจากซ้ายไปขวา
ผู้ใช้จะกวาดสายตาจากด้านบนชิดซ้าย
เฉียงมาที่จุดศูนย์กลางเชิงทัศน์ซึ่งเป็นจุดรวมความสนใจ ที่วางบนพื้นที่ความสนใจโดยรอบ
แล้วกวาดตาลงไปมุมขวาล่าง
เนื่องจากองค์ประกอบของแผนที่มีลำดับความสำคัญมากน้อยต่างกัน
สรุปลำดับความสำคัญได้ตามตาราง
การวางองค์ประกอบแผนที่พิจารณาให้องค์ประกอบที่มีลำดับความสำคัญสูงมีสัดส่วนพื้นที่มากที่สุด
แล้วลดหลั่นขนาดพื้นที่กันไปตามลำดับ และองค์ประกอบของแผนที่ที่มีลำดับความสำคัญสูงต้องอยู่บริเวณที่น่าสนใจที่สุดด้วย
ภาพ (ก) จุดศูนย์กลางเชิงทัศน์ และ (ข)
ลำดับการกวาดสายตา
ที่มา : Dent (1999)
ตารางลำดับความสำคัญขององค์ประกอบแผนที่
–
การจัดลำดับของเนื้อหาแผนที่ (Hierarchical
organization) ส่วนของเนื้อหาแผนที่
ก็มีระดับความสำคัญแตกต่างกัน โดยเฉพาะแผนที่เฉพาะเรื่องมีเนื้อหาหลัก
หรือหัวเรื่องหลักที่นำมาแสดงบนแผนที่ซึ่งอาจเน้นเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น
ชนิดดิน การใช้ที่ดิน หรือข้อมูลภูมิศาสตร์ที่นำมาแสดงเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น
จำนวนประชากร และเนื้อหารอง ประกอบเป็นพื้นหลัง ซึ่งคือข้อมูลอื่นๆ ที่ประกอบเป็นฉากหลัง
อาจเป็นแผนที่ลายเส้นหรือเป็นข้อมูลจากดาวเทียม และรูปถ่ายทางอากาศก็ได้
แต่ต้องออกแบบให้ภาพประกอบพื้นหลังไม่รบกวนประเด็นที่นำมาแสดง เช่น
การลดทอนรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไป การใช้สีอ่อนกว่าประเด็นหลัก
การจัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาแผนที่มี 3 ลักษณะ คือ ลักษณะภาพ 3 มิติ
ลักษณะลำดับขั้น และลักษณะการจำแนกย่อย
ที่มา :
ตำราเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศศาสตร์
เนื้อหาดี มีภาพประกอบเข้าใจง่ายขึ้นครับ
ตอบลบสุดยอด
ตอบลบเนื้อหาสาระดีมากเลยครับ
ตอบลบ